Pre-Race Note: ATHENS Marathon 2019
ตั้งแต่มาถึง Athens ยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ทั้งๆ ที่เลือกโรงแรมอยู่ใจกลางเมือง มองเห็น Acropolis อยู่ข้างหน้า วันแรกก็ไปงาน expo รับบิบ ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอเล็กน้อย หาอะไรง่ายๆ ทาน และพักผ่อน
แพลนของวันที่สองที่คิดไว้ตอนแรกคือจะเดินเที่ยวตามโบราณสถานในเมือง ซึ่งรวมถึง Acropolis, วิหาร Parthenon, Temple of Olympian Zeus, Panathenaic Stadium และอีกอื่นๆ มากมายที่นักท่องเที่ยวทั่วไปเค้าไปกัน… นั่งหาข้อมูลอ่านไปเรื่อยๆ ก็บังเอิญอ่านไปเจอ “Marathon Run Museum” … แต่มันอยู่ที่เมืองชื่อ Marathon ซึ่งไกลออกไปมาก ดูวันเวลาเปิดปิด คิดว่าถ้าจะไป ก็ต้องไปวันนี้แหละ เพราะมันปิดวันอาทิตย์ (ซึ่งตรงกับวันวิ่งมาราธอน) แล้ววันจันทร์ก็ยังปิดอีก (วันจันทร์เราก็บินออกจาก Athens แล้ว)
เปิด Google Maps ดู ต้องนั่งรถไฟ local 2 ต่อ ไปจนสุดสาย จากนั้นก็ไม่มี public transportation อะไรต่อแล้ว นอกจาก taxi ซึ่ง… ตรงนั้นมันบ้านนอกมากๆ ดูระยะทางที่ต้องนั่ง taxi คือประมาณ 15-16 km… ก็แอบคิดในใจ เอาวะ ถ้าไปถึงตรงนั้น แล้วมันไม่มี taxi ก็วิ่งไปก็ได้มั้ง… ด้วยความที่เป็นวันเสาร์ รถไฟรอบแรก 8 โมง ถ้าพลาดอันนี้คือจะเป็นรอบ 10 โมง… ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 1.5 ชั่วโมง… วันเสาร์ museum เปิดแค่ 10 โมงเช้าถึงบ่าย 2 โมง… เราก็ต้องไปรถไฟรอบ 8 โมงนี่แหละ ไปถึงก่อนแล้ว museum ยังไม่เปิดก็หากาแฟกินรอได้ ไม่มีปัญหา…
คงตื่นเต้นมากแหละ ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า… นี่ไม่ได้จะไปวิ่งมาราธอนนะ เอาจริงๆ ถ้าวันนี้วิ่งยังไม่ตื่นเร็วขนาดนี้เลย ออกจากโรงแรม 7:30 นั่ง tram 10-15 นาทีไปถึงสถานีกลาง Athens ซึ่งเหมือนหัวลำโพงนั่นแหละ… เริ่มงงละ ภาษากรีกทำสับสนมาก ใน Google Maps บางสถานีเป็นภาษาอังกฤษ บางสถานีเป็นภาษากรีก… ซึ่งอ่านไม่ออกจริงๆ และมันไม่ได้มีความใกล้เคียงเลย… แต่ประเทศนี้ดีอย่างนึง เวลาถามใครตามท้องถนน ทุกคนยิ้มแย้มช่วยเหลือ และพอจะพูดภาษาอังกฤษกับเราได้ สุดท้ายก็มีคนพาขึ้นรถไฟถูกขบวน ซึ่งรถไฟขบวนที่ขึ้น มันไม่ได้ตรงตามตารางเวลาที่ Google Maps บอกเลย แล้วก็ต้องนั่ง 3 ต่อ ไม่ใช่ 2 ต่อ… ในขณะที่เรากำลังจิ้มๆ Google Maps ดูอยู่นั้นว่าถึงไหนแล้ว ก็มีคนเข้ามาถาม นี่ยูกำลังจะไปเมือง Marathon รึป่าว (เค้าคงเห็นจากเสื้อและรองเท้าเราว่าเป็นนักวิ่งแน่ๆ) … คุยไปคุยมา ชื่อ Ivan เป็นนักวิ่งจาก Brazil กำลังจะหาทางไป museum นี่เหมือนกัน… เย้ มีคนหาร taxi แล้วโว้ยยยยย…
เราสองคนช่วยกันเปิด maps งูๆ ปลาๆ อ่านภาษากรีกกัน จนเรามาถึงสุดทางรถไฟที่ Agios Stefanos… จริงอยากที่อ่านมา มันดูบ้านนอกจริงๆ เงียบกริบ… ดูไม่มีวี่แววว่าจะมี taxi โผล่มาได้เลย… คนอื่นๆ ที่ลงรถไฟที่สถานีนี้ ก็มีญาติมีเพื่อนขับรถมารับกันทั้งนั้น คนค่อยๆ หายไปจนเหลือยืนอยู่ 3 คน (มีคุณลุงชาวกรีกอีกคนโผล่มา) …. คุณลุงถามพวกเราว่า จะไปไหนกันเหรอ เราบอกว่า จะไปเมือง Marathon …. หืมมม มันไกลนะ ยูจะไปกันยังไง… อ๋อ เราคิดว่าจะหา taxi ไป… ลุงยิ้มและบอกว่า taxi ไม่ค่อยมีหรอก นานๆ ทีจะโผล่มา แล้วแต่ดวงนะ นี่ลุงก็กำลังรอ taxi อยู่ (ลุงขิงมาก่อนเหมือนประมาณจะบอกเราว่า ลุงมาก่อนนะ เป็นคิวที่ 1) … แล้วจู่ๆ ก็มี taxi คันนึงโผล่ขึ้นมา ลุงโบกอย่างแรงแล้วพุ่งเข้าไปสปี๊กกรีก… Ivan กับผมมองหน้ากันแบบเซ็งๆ ที่โดนลุงตัดหน้า ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันต้องมีคันถัดไป… ลุงหันมาบอกให้พวกเราขึ้นรถ… สรุปคือที่ลุงสปี๊กกรีกกับ taxi เนี่ย ลุงบอก taxi ว่า ช่วยไปส่งลุงที่บ้านก่อน แล้วจากนั้นพาไอ้เด็กสองคนนี้ไป Marathon Meseum ที บ้านลุงเป็นทางผ่านอยู่แล้ว พอส่งลุงเสร็จก็ค่อยกดมิเตอร์ใหม่… โอ้โห… กราบลุง สั่งเสีย taxi ให้เสร็จสรรพ
Taxi พามาจอดหน้า museum เป็นเวลา 10 โมงพอดีเป๊ะ ประตูกำลังเปิด… น้ำตาจะไหล ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาที่นี่… เดินเข้าไป พนักงานเข้ามาต้อนรับอย่างดี เป็น museum เล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่มีอะไรน่าสนใจให้ดูเยอะมากๆ คงเป็นเพราะว่าเราสนใจเรื่องนี้ด้วยแหละ เราเลยอยากจะดูทุกซอกทุกมุมของ museum แล้วทันใดนั้น มีคุณลุงคนนึงเดินเข้ามาคุยด้วย แล้วก็เล่าโน่นนี่ให้ฟัง มารู้ทีหลังว่า ลุงเป็นลูกชายของ Stylianos Kyriakides นักวิ่งมาราธอนชาวกรีซที่ชนะ Boston Marathon ในปี 1946
ปัจจุบันนี้ คุณลุงเป็นเจ้าของ museum นี้แหละ แล้วของต่างๆ ในห้องด้านหน้า ก็เป็นของพ่อคุณลุง (Kyriakides) เกือบทั้งหมด… ภายหลังก็พอทำเป็น museum ขึ้นมา นักวิ่งมาราธอนและงานแข่งต่างๆ ทั่วโลกก็มอบของและ collection ต่างๆ เพื่อนำมาแสดงใน museum…
คุณลุงได้พาเดินดูทุกซอกทุกมุม และเล่าให้พวกเราฟังอย่างละเอียด ถึงแม้จะเคยรู้ข้อมูลมาบ้างแล้ว ว่าทำไมระยะมาราธอนถึงเป็น 42.195 แต่วันนี้การได้ฟังข้อมูลแบบละเอียดๆ จากการเล่าของคุณลุง มันโคตรอินไซด์ (แนะนำให้ดูคลิปที่แปะไว้ข้างล่าง)
คุณลุงเล่าให้ฟังว่า สมัยตอนที่ทหาร Greek รบกับทหาร Persian นั้น กองทัพ Greek ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะรับมือกับทหาร Persian ได้ไหว จึงต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากทหาร Spartan ซึ่งมีความสามารถในการรบ โดยนายทหารส่งข่าวชื่อ Pheidippides (อ่านว่า “ฟีดิปปิดีส”) ได้วิ่งจากเมือง Marathon ไปที่เมือง Sparta เพื่อขอกำลังเสริม แต่กองกำลัง Spartan ไม่สามารถไปช่วยได้ เนื่องจากกำลังอยู่ในสัปดาห์ที่เป็นประเพณีประจำปี จะไปช่วยได้ก็ต้องเป็นสัปดาห์ถัดไป การวิ่งแบบไปกลับของ Pheidippides นั้นเป็นระยะทางเกือบ 500 km
แม้จะไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันเวลาจากทหาร Spartan แต่ทหาร Greek ก็รบชนะทหาร Persian หลังจากชัยชนะ ก็มีทหารส่งข่าวคนนึง (ซึ่งอาจจะเป็น Pheidippides หรือไม่ใช่ก็ได้) ได้วิ่งจากเมือง Marathon ตรงมารีบส่งข่าวที่กรุง Athens จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มีความเชื่อว่าเค้าได้วิ่งเป็นเส้นตรง แบบไม่อ้อมภูเขา โดยถ้าวัดระยะทางน่าจะเป็นประมาณ 36 km เมื่อถึงเมือง Athens เค้าได้เปล่งเสียงตะโกนว่า “νικώ” ซึ่งตรงกับอักขระโรมัน “nikó” แปลว่า “ชัยชนะ” จากนั้นก็ล้มลง และเสียชีวิตในที่สุด… ชื่อยี่ห้ออุปกรณ์กีฬาดัง Nike ก็มีรากศัพท์มาจากคำนี้
อ้อ ลืมบอกไป ค่าเข้า museum แค่ €2 เท่านั้น และสามารถถ่ายรูปและวีดีโอได้หมดทุกซอกทุกมุม คุ้มของโคตรคุ้ม
เดินดูได้ยังไม่อิ่มดี ก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า ประมาณ 12:30 น. จะมีพิธีเปิดงานมาราธอน และมีการจุดคบเพลิงที่กลางสุสานมาราธอน ซึ่งก็คือสนามรบในสมัยก่อน แต่อยู่ค่อนข้างไกล (ประมาณ 6 กม จากตรงนี้) โชคดีที่เราเจอนักวิ่งอีก 2 คน ชื่อ Savio และ Giuliane จากโปรตุเกสที่ขับรถเช่ากันมา พูดภาษา Portugese เหมือน Ivan ก็เลยชวน Ivan กับผมติดรถไปด้วย
ไปถึงที่งาน… คนไม่ได้เยอะนะ แต่ตื่นเต้นโคตร นี่หรือคือทุ่งหญ้ามาราธอน (Marathon Battle Field) ที่เค้ารบกันไม่รู้กี่ครั้ง แล้วสุดท้ายกรีกก็รบชนะเปอร์เชียน จนมีทหารคนนึงชื่อ Phidippides วิ่งตรงจากเมือง Marathon ไปที่ Athens เพื่อบอกข่าวว่ารบชนะแล้ว… แล้วก็ล้มลงเสียชีวิต… จนเป็นจุดต้นกำเนิดของ Marathon
วันนี้รู้สึกขอบคุณตัวเองมากๆ ที่พาตัวเองมาอยู่ที่นี่ ได้ดูพิธีเปิด ได้ชมการแสดงรบ ได้มายืนอยู่บนทุ่ง Marathon และได้เจอมิตรภาพจากเพื่อนนักวิ่งใหม่อีก 3 คน… พวกเราคุยเรื่องวิ่งกันอย่างสนุกสนานมาก ปิดท้ายด้วยการไปหาอะไรทาน แล้ว Giuliane ก็ขับรถกลับมาส่งพวกเราที่ Athens
POST-Race Note: ATHENS Marathon 2019
ตัดภาพมาวันวิ่งมาราธอน ออกจากที่พักประมาณ 6 โมง นั่ง tram ไปที่จุดขึ้นรถของงาน ซึ่งมีประมาณ 5-6 จุดทั่วเมือง ผมนัดเจอกับ Ivan ที่จุดขึ้นรถ Omonoia เพราะเราปล่อยตัวบล็อค 5 เหมือนกัน… การรับส่งนักวิ่งจากในเมืองไปที่จุด start นอกเมืองทำได้ดีมากๆ เลยทีเดียว รถ coach ใหญ่นั่งสบาย สบายจนหลับ ง่วงด้วยแหละ แล้วระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ใช้เวลา 1:30 ชม กว่าจะมาถึงจุด start ที่เมือง Marathon
ผมรีบเอากระเป๋าไปฝาก การฝากของใช้บริการรถรับส่งของ DHL ฝากของเสร็จก็รีบเดินไปเข้าบล็อค… คนเยอะมากๆ มีนักวิ่ง full marathon ประมาณ 18,000 คน จาก 106 ประเทศ ส่วนระยะอื่นๆ มีวิ่งไปแล้วเมื่อวานตอนเย็นและวันนี้ตอนเช้า จำนวนคนอาจจะไม่เยอะเท่ากับงาน major แต่ถ้าเปรียบเทียบกับเมืองเล็กๆ อย่างเมือง Marathon (จริงๆ เค้าใช้คำว่า village ควรจะเรียกว่าหมู่บ้านด้วยซ้ำ) มันเลยดูเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากๆ
พยากรณ์อากาศวันนี้ฝนจะตกประมาณ 11 โมง… เวลาปล่อยตัว 9 โมง… ถ้าไม่อยากเปียกเราต้องวิ่งให้เร็วเท่า Kipchoge… ซึ่งเป็นไปไม่ได้… ที่จุดปล่อยตัวมีประมาณ 10 บล็อค ได้ยินโฆษกประกาศว่านักวิ่งตั้งแต่บล็อค 9-10 เป็นต้นไป แถวจะยาวเข้าไปใน stadium… นี่แอบเสียใจนิดหน่อยที่ไม่ได้เข้าไปดูใน stadium
อีก 1 นาทีกำลังจะปล่อยตัว ฝนเริ่มหยดเม็ดลงมา… เค้ามีแจกเสื้อกันฝนพลาสติกตั้งแต่ก่อนเดินเข้าบล็อคด้วย แต่ไม่ได้หยิบมา เพราะไม่ชอบ รู้สึกว่ากร๊อบแกร๊บเป็นภาระ เวลาใส่แล้วอบอยู่ในนั้น ไม่ระบายเหงื่อ จะตกก็ตกมาเลย เปียกและหนาวกว่านี้ก็วิ่งมาแล้ว พอออกจากจุด start ไป… โอ้โห… ฝนเทลงมาห่าใหญ่ ประมาณ 5 นาทีแล้วก็หยุด แดดออก เหมือนเป็นการเจิมพวกเราด้วยความชุ่มฉ่ำ… Ivan บอกว่าวันนี้อยากทำ sub 3:30… คิดในใจ มึงได้ดู elevation graph มาปะวะ… เนินขนาดนี้… เอาเลย เชิญ… sub 3:30 อ่ะกูทำมาเรียบร้อยละ วันนี้ขอวิ่งเพลินๆ ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ ซึมซับบรรยากาศไปดีกว่า ถ้ามึงอยากซิ่ง ไปก่อนเลยนะ แยกกันตรงนี้ ค่อยไปเจอที่เส้นชัย… รอถ่ายรูปให้กูด้วย
การปล่อยตัว ค่อยๆ ปล่อยทีละบล็อค ห่างกันไม่นานเพื่อเว้นระยะไม่ให้นักวิ่งแออัดกันจนเกินไป แต่พอเอาเข้าจริงๆ 10 km แรกนี่มุดแล้วมุดอีก สองข้างทางมีชาวบ้านมาเชียร์บ้างประปราย… จนมาถึง กิโลเมตรที่ 10 ก็มีเด็กตัวเล็กๆ มายืนส่งเสียงเชียร์ข้างทางกับพ่อแม่ Bravo! Bravo! น่ารักมากๆ… เด็กทุกคนมีบิบและเหรียญห้อยคอด้วย เดาว่าเป็นการวิ่ง 5K หรือรายการของเด็กๆ เมื่อเช้า…
จากกิโลเมตรที่ 12 เป็นต้นไปยาวจนถึง 32 เป็นเนิน… เนินขึ้นตลอด เนินแบบจริงจัง… ก็แหงล่ะ เค้าบอกว่างานนี้ มันคือการวิ่งจากทุ่ง Marathon ซึ่งอยู่ประมาณระดับน้ำทะเล ขึ้นไปที่เมือง Athens ซึ่งอยู่ประมาณ 600 ฟุตจากระดับน้ำทะเล (เท่า Chicago)
เส้นทางวิ่งของงานมาราธอนครั้งแรกที่จัดในปี 1896 มีระยะ 40 km ซึ่งมันคือที่เราวิ่งวันนี้นี่แหละ แต่อีก 2.195 คือเค้าเพิ่มนิดนึงหลังจาก start ให้ไปวนตรงทางไป Marathon Beach… จะได้เป็นไปตาม standard ของ IAAF ซึ่งมากำหนดมาตรฐานเอาเมื่อปี 1908… จากข้อมูลที่ museum เค้าบอกว่า Phidippides วิ่งเป็นเส้นตรง ประมาณ 36 km (คือวิ่งข้ามภูเขาไปเลย) แต่เส้นทางวิ่งแข่งมาราธอนแรก คือพยายามเลียบเลาะตามตีนเขาให้ราบที่สุด จึงเป็นระยะ 40 km… แน่ใจเหรอว่านี่ราบแล้ว บอกเลยว่าแทบจะตายเอา… ใครคิดจะมาวิ่ง Athens Marathon ซ้อมเนินมาให้เยอะๆ เลยนะ งานนี้ไม่เหมาะกับ beginner… นี่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพอ Phidippides วิ่งไปบอกข่าวว่ารบชนะเสร็จ แล้วก็ล้มลงเสียชีวิต… อืม… ก็สมควรอะ นี่ขนาดเราวิ่งเลียบเขายังขนาดนี้ ถ้ามึงจะวิ่งขึ้นเขาด้วย ตายเถอะ…
เส้นทางวิ่งมาคึกคักอีกครั้งตอนเข้าเขตเมือง Athens มีกองเชียร์มาโห่ร้องตลอดสองข้างทาง ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปจบใน Panathenaic Stadium (Παναθηναϊκό Στάδιο) ซึ่งมีประวัติยาวนานตั้งแต่ก่อนคริสตกาล (330 BC) สนามปัจจุบันคือสนามที่สร้างใหม่ทับลงบนซากปรักหักพังของสนามเดิม เพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคยุคใหม่ รวมถึงงานกีฬาโอลิมปิคในปี 1896 ซึ่งได้ระบุกีฬาชนิดใหม่ เป็นการวิ่งระยะยาว ชื่อกีฬาว่า “Marathon” ซึ่งนับเป็นการแข่งขันมาราธอนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ วันนั้นมีผู้เข้าแข่งขัน 25 คน วิ่งจบเพียง 9 คนเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ใช่สนามกีฬาที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่มันรู้สึกขลังมาก จนน้ำตาแทบไหล เป็นการปิดฉาก Athens Marathon อย่างสวยงามและประทับใจที่สุด
Ivan ส่ง text มาถามว่าอยู่ไหนแล้วจะเดินมาเจอ เลยนัดเจอกันที่รถฝากของ วันนี้ Ivan ทำเวลาได้ 3:34 ดูเหมือนไม่ค่อย happy เพราะตั้งเป้าว่าอยากจะ sub 3:30 เลยบอกไปว่า ไม่ต้องเสียใจหรอก สนามนี้มันยาก ชันขนาดนี้วิ่งได้ 3:34 นี่คือเก่งมาแล้ว ถ้าไปวิ่ง Berlin หรือ Chicago คงได้ 3:20-3:25 แน่ๆ