หลังจากได้รับเหรียญ Six Star Finisher ก็มีความคิดว่าน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับ World Marathon Majors ไม่อยากวิ่งซ้ำสนาม ถ้าจะต้องเหนื่อยกับการวิ่งไกลถึง 42 km ขอเป็นประเทศใหม่ดีกว่า ตามเป้าหมายที่อยากจะวิ่งมาราธอนให้ครบทุกประเทศทั่วโลก
แต่นี่เป็นการกลับมา Berlin Marathon อีกครั้ง เป็นการวิ่งซ้ำสนามครั้งแรกในชีวิต กดสมัคร lotto ไป แล้วบังเอิญ… คุณคือผู้โชคดีที่ได้รับคัดเลือก lotto สำหรับ Berlin Marathon 2019… ไปก็ได้วะ แล้วนี่ยังเผลอได้ lotto ของ Chicago Marathon 2019 อีก ก็จะเป็นการวิ่งซ้ำสนามครั้งที่สองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า… แบบ back-to-back
“ทำเหรียญ Six Star Finisher อีกรอบไปเลยพี่ เก็บ 12 ดาว” เสียงจากพี่ฟอร์ด คู่หูที่ไปวิ่งต่างประเทศด้วยกันมาหลายทริปได้เป่าเข้ามาในรูหู เรามันคนเชื่อคนง่าย ก็ได้นะ ลองดู… ก่อนหน้านี้เราเป็นคนที่เดินทางมาด้วยทางลัดเกือบตลอด เคยวิ่ง 5K มา 2-3 ครั้ง แล้วก็ลัดมาวิ่งมาราธอนเลย โดยการชักชวนของเพื่อนจิมมี่ (อีกแล้ว) เป่าหูมา ก็เซ่อหลงเชื่อไป วิ่งมาราธอนแรกหลังจากซ้อมแค่ 3 สัปดาห์ แล้วก็วิ่งด้วยใจจบไปแบบเจ็บๆ จนทุกวันนี้ยังไม่เคยลงสมัครงาน half marathon เองเลยซักครั้ง… ตอนที่วิ่ง Boston Marathon ก็ได้บิบมาจากการทำ charity ด้วยความตั้งใจเพียงแค่อยากจะวิ่ง Boston Marathon โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นหนึ่งใน World Marathon Majors ที่ยากที่สุดในสายตาคนอื่นๆ การเก็บดาวดวงแรกซึ่งเป็นดาวดวงที่ยากที่สุดด้วยทางลัดของเรา ก็มาพร้อมกับความคิดเห็นของคนอื่นต่างๆ นานา… ว่ามันไม่สมศักดิ์ศรีบ้าง มันไม่ทรงเกียรติบ้าง ฯลฯ ซึ่งเราก็ยอมรับในความคิดเห็นของทุกคน แต่สำหรับเราแล้ว เรารับรู้ถึงการต่อสู้ทุกขั้นตอน ไม่เป็นไร… วันนี้เราจึงมีเป้าหมายระยะกลางของชีวิตคือการทำ BQ ในเหรียญ Six Star FInisher วงที่สองเพิ่มขึ้นมา ส่วนเป้าหมายระยะสั้นนั้นก็คือทำ sub 3:30 ให้ได้ก่อน
การมา Berlin ครั้งนี้จึงถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย จุดไฟให้ตัวเองอีกครั้ง ด้วยการมาดูชื่อตัวเองเป็นครั้งแรกบนบอร์ด Abbott Hall of Fame ประชากรโลกมีประมาณ 7,700 ล้านคน เราคิดเป็น 0.0000001% ของคนเหล่านั้น ประชากรไทยมีประมาณ 70 ล้านคน ขณะนี้มี 7 ชื่อคนไทยอยู่บนบอร์ด เราก็คิดเป็น 0.0000001% เช่นกัน ตบไหล่ชื่นชมตัวเองไป 1 ที… เอาละนะ เราจะไปต่อ…


โปรแกรมการซ้อมจึงได้เริ่มต้นขึ้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคม โดยใช้ตารางซ้อมของครูดิน สถาวร จันทร์ผ่องศรี ซึ่งเริ่มประมาณช่วงเวลานั้นและจะไปจบก่อน Chicago Marathon พอดี… เราไม่ได้เลือกอะไรมากมาย มันมีตารางการซ้อมของหลายสำนัก หลายโค้ช… มีนักวิ่งหลายคนที่มัวแต่เสียเวลาเลือกว่าตารางซ้อมแบบนี้ดีกว่าตารางซ้อมแบบนั้น โค้ชคนนี้ดังกว่าโค้ชคนนั้น รองเท้ารุ่นนี้ดีกว่ารองเท้ารุ่นนั้น… มัวแต่เสียเวลาเลือกอยู่นั่น ไม่เห็นได้ออกไปซ้อมซะที สุดท้ายก็อยู่ที่เดิม… ตารางซ้อมจะวิเศษแค่ไหน มันจะไม่มีความหมายเลยถ้าเราไม่ได้ทำตาม… เราเลือกจิ้มตารางนี้แหละ เพราะเป็นโปรเจ็คที่ครูดินจัดขึ้นฟรี และช่วงเวลาก็เหมาะเจาะพอดี ไม่คิดนาน ไม่คิดเยอะ เชื่ออย่างเดียว ว่าถ้าเราทำตามเค้า เราจะบรรลุเป้าหมาย sub 3:30
จากสถิติเดิม Chicago Marathon 2018 ที่ 3:43:44 และ Tokyo Marathon 2019 ที่ 3:45:37… เราคิดว่า 15 นาทีที่เราจะกดลงไปนั้น มันเป็นเป้าหมายที่มนุษย์ทั่วไปทำได้ ท้าทาย แต่ไม่ได้ยากเกินไป ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงนี้แหละ มันต้องเชื่อก่อน ว่าเราทำได้… ปี 2015 ก่อนที่จะวิ่ง Boston Marathon เราตั้งใจ และเชื่อหมดใจ ว่าปีหน้าเราจะวิ่ง Boston Marathon ได้… เราเห็นภาพตัวเองในอนาคตชัดเจนมากตอนวิ่งเข้าเส้นชัย… ในปี 2016 เราได้เข้าไปวิ่ง Boston Marathon จริงๆ ตอนที่วิ่งเข้าเส้นชัย ทุกจังหวะการก้าวขา มันเหมือนในภาพที่เราวาดไว้ก่อนหน้านั้นเป๊ะๆ … ความสำเร็จของมนุษย์จะเกิดขึ้นทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งแรกคือเกิดขึ้นในความคิด ครั้งที่สองคือเกิดขึ้นจริง… ตอนนี้เราเห็นภาพเราวิ่งเข้าเส้นชัยไปแบบหล่อๆ ด้วยเวลา sub 3:30 เรียบร้อยแล้วในความคิด และยังเห็นตัวเองได้ท่องเที่ยวไปวิ่งในประเทศต่างๆ มากมาย คนที่คิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน หรือคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ ลองเปลี่ยนความคิดดูใหม่สิ แล้วมันจะเกิดขึ้นจริง เชื่อเรา…
ตลอดเวลา 4 เดือนเต็มที่ผ่านมา ในการซ้อมแต่ละวัน ยิ่งเป็นการตอกย้ำความมั่นใจว่าเราจะทำได้ ตารางการซ้อมสไตล์ครูดินจะเป็น pattern 3 วัน แล้วพัก 1 วัน โดย 3 วันจะประกอบด้วย interval หรือวิ่งขึ้นเนิน, tempo แบบกำหนดความรู้สึกบ้าง คุมโซนหัวใจบ้าง, และการทำ cross training ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ เวท โยคะ วิ่งเท้าเปล่าบนหญ้า ซึ่งมีการกำหนดวันแบบเป๊ะๆ ในแต่ละวันที่บนปฏิทินว่าวันนี้ให้ทำอะไร พรุ่งนี้ให้ทำอะไร
มาถึง Berlin วันศุกร์เที่ยงคืน ไฟลท์ดีเลย์ โรงแรมโดน cancelled กระเป๋าน้ำหนักไม่ผ่าน และอีกสารพัดอุปสรรค… ขอบคุณพี่โต้ง ที่แบ่งห้องให้พักพิง มาถึงห้องเกือบตีสอง อาบน้ำ นอนได้งีบเดียวก็รีบตื่นไปรับบิบเป็นวันสุดท้าย… เราไม่มีความตื่นเต้นอะไรอีกแล้วกับ expo ไม่ได้ซื้อสินค้าอะไรเลย เราไปมาเยอะ จนเบื่อกับความ commercial ของงาน World Major แล้ว ที่ expo วันนี้จึงเป็นแค่การรับบิบ ดูชื่อตัวเองบนบอร์ด Six Star Finishers ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอนิดหน่อย แล้วก็กลับ
มื้อเย็นก่อน race day ออกไปหาอะไรทานกับเพื่อนๆ จากทีม 349 ที่อยู่โรงแรมเดียวกัน ขากลับแวะซื้อขนมนมเนยเล็กน้อยสำหรับวันรุ่งขึ้น…
นอนหลับอย่างอิ่มมากๆ ไม่มีความตื่นเต้นใดๆ เราเป็นคนมีบุญ หลับง่าย ใครจะเปิดเพลงดัง ใครจะเปิดไฟสว่าง ถ้าเราจะหลับ คุณไม่สามารถหยุดยั้งเราได้… นาฬิกาปลุก 6:30 ลุกขึ้นมาแปรงฟันแล้วนอนต่อ ลุกขึ้นอีกที 7:00 ทานขนมและกาแฟ แต่งตัวและสวม Next% ชมพูแบบใหม่แกะกล่องยังไม่เคยลองวิ่งเลย ไม่ใช่แค่รองเท้านะ เสื้อและกางเกงก็ใหม่แกะป้ายเช่นกัน (เด็กๆ ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง)


ออกจากโรงแรม 8:00 เจอเพื่อนๆ นักวิ่งคนไทยในโรงแรมเดียวกันและโรงแรมใกล้เคียง เราเคลื่อนขบวนไปยังจุด start ด้วยกัน อากาศเย็นสบายๆ การมาวิ่งมาราธอนในต่างประเทศมันดีแบบนี้ หนึ่งคือสภาพอากาศเป็นใจ สองคือได้ตื่นในเวลาปกติ พักผ่อนแบบปกติ ไม่ได้ทำให้นาฬิกาชีวิตรวน พยากรณ์บอกว่าฝนจะตกตอน 11 โมง… ก็ทำใจว่าต้องวิ่งกลางฝนอีกแล้ว แต่ไม่เป็นไร ชินแล้ว มาถึงสนามแถวบริเวณฝากกระเป๋า เจอนักวิ่งขาแรงอย่างพี่อนันต์ พี่โจ และน้องเล็ก ขอถ่ายรูปเพื่อดูดรังสีความแรง ได้พลังบวก ได้แรงบันดาลใจ พลังฮึดมาอีกเพียบ
มาถึงบล็อก มีเวลาเหลือก็เลยออกไปวอร์มอยู่ข้างๆ บล็อก แล้วกลับเข้ามาประจำที่ประมาณ 15 นาทีก่อนปล่อยตัว ได้เจอกลุ่มเพื่อนๆ นักวิ่งชาวไทย 4-5 คน (จริงๆ มีเยอะกว่านี้มากๆ ในบล็อก F แต่คนเยอะ หาไม่เจอ)
9:15 สัญญาณปล่อยตัวดัง กล้องพร้อม นาฬิกาพร้อม ขาพร้อม ก็ออกตัวไปตามฝูงชน ผ่าน Victory Column ด้วยความเชื่อมั่น ว่าชัยชนะของเราวันนี้คือ sub 3:30 จะต้องมา การวางแผนวิ่งวันนี้สำหรับตัวเอง คิดว่า 10K แรกจะวิ่ง pace 5:00, 10K ที่สองจะวิ่ง pace 4:50, 10K ที่สามจะพยายามให้คงที่ที่ pace 4:50 แต่หลังจากจุด half ไปจนถึงประมาณ km 28 เป็นเนินซึมๆ ถ้า pace ตกลงมาเหลือ 5:00 ก็คงไม่เดือดร้อนอะไร, 10K สุดท้าย elevation เป็นการวิ่งลง ก็คงใช้ pace 4:50 ไปจนจบ… ในความเป็นจริงนั้น ตั้งแต่ km 2-34 เราวิ่ง pace ประมาณ 4:40-4:50 ตลอด มีบางช่วงเผลอลั่นไปถึง 4:30 ด้วยซ้ำ


ช่วงใกล้จุด half ฝนเริ่มลงเม็ด ฝนไม่ได้เป็นปัญหาต่อการวิ่งหรอก แต่เป็นปัญหาต่อการถ่ายวีดีโอ… ยังคงกำกล้องต่อไป ระหว่างทางแวะรับน้ำแบบจุดเว้นจุด เราว่าฝนตกมันก็โอเค ไม่ได้หิวน้ำขนาดนั้น ตอนซ้อมก็ฝึกกินน้ำแบบโฉบมาจนชิน พอถึงจุดให้น้ำ เราฉีกออกแล้วพุ่งไปโฉบเอาน้ำโต๊ะสุดท้ายเลย ประหยัดเวลาไปได้เยอะพอสมควรนะ เครื่องดื่มเกลือแร่ของงานปีนี้รสชาติโอเค กินไป 2 ครั้ง ส่วนเจลไม่ได้เอามาเอง กินเจลของงานที่จุดแจก km 27 ไป รส cola งับเข้าไปคำเดียว รสชาติไม่ผ่านจริงๆ เลยกินไม่หมด
ที่ประมาณ km 28 มีกองเชียร์คนไทยด้วย กลองยาว หมอลำซิ่ง รำเซิ้ง แต่บังเอิญวิ่งอยู่คนละข้าง เลยไม่ได้เข้าไปเฮด้วย จริงๆ เจอกองเชียร์ธงไทยหลายจุดเหมือนกันนะ อบอุ่นดี… ผ่าน km 35 ไม่ต้องดูนาฬิกาก็รู้ตัวเองเลยว่า pace เริ่มตก คงเป็นอาการล้าของร่างกายน่ะแหละ แต่ก็ไม่มีอาการเจ็บ ไม่มีตะคริว ก็ไปต่อ พยายาม keep momentum ฝนก็เริ่มเม็ดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลังนี้ pace เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5:00 – 5:05 จนเลี้ยวเข้าโค้งสุดท้ายเห็น Brandenburg Gate อยู่ข้างหน้า ก้มดู Garmin แล้วยิ้มมุมปาก ตบไหล่ชมตัวเองหนึ่งที… ทัน 3:30 แบบเหลือๆ เลย
เข้าเส้นชัยมาเจอน้องอุ้ง ยืนเม้ามอยและทักทายกันตามประสาคนได้ New PB กัน แล้วก็แยกย้าย พอหยุดวิ่ง มันเริ่มหนาวแล้วไง รีบวิ่งเอาเหรียญไปสลักเวลา ที่จุด Finish เราไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมากมายเหมือนปีที่แล้ว เลิกเห่อละ… สุดท้ายแยกตัวกลับโรงแรมไปแช่ขาก่อน เพราะเดี๋ยวตอนเย็นไปทานขาหมูก็ได้เจอกันพร้อมหน้าอยู่ดี


โดยรวมแล้ว เป็น race ที่ทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ ตามเป้า ไม่เจ็บ ขายังไปต่อได้ ยังวิ่งขึ้นลงบันไดได้อย่างชิว ทั้งหมดมาจากความมุ่งมั่นและวินัยของเราเอง ถึงแม้ว่าเวลาจะยังไม่เพียงพอสำหรับ BQ แต่เรามั่นใจเลยว่า เรามาถูกทางแล้ว และเราจะไปต่อ เพราะเราได้เห็นภาพตัวเองมีเวลา BQ ในอนาคตอย่างชัดเจนเรียบร้อยแล้ว… หลายๆ คนอาจจะคิดว่า BQ เป็นเรื่องยากและไกลตัว… อย่างที่เราบอก มันเป็นแค่เพียงความคิด ถ้าคิดว่ายาก มันก็ยาก ก็ลองคิดใหม่ว่ามันเป็นอะไรที่ทำได้ มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ตอนเด็กๆ ที่พ่อสอนขับรถ เคยถามพ่อว่า ขับรถนี่มันยากมั้ย พ่อบอกว่า ถ้ามันยาก คงไม่มีคนขับรถในถนนกันเป็นพันเป็นหมื่นคนหรอกลูก อะไรที่คนเป็นพันเป็นหมื่นเค้าทำได้ มันไม่ใช่เรื่องยาก… เราลองมาคิดดู ปีนึงมีคนที่ได้ BQ เป็นหมื่นคน… อะไรที่คนเป็นหมื่นคนทำได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากไง ถ้าจะให้วิ่ง 2 ชม แบบ Kipchoge ก็ว่าไปอย่าง
แม้ Berlin Marathon ครั้งนี้จะเป็นการดูหนังซ้ำ แต่ได้อีกรสชาติ… นอกจากจะขอบคุณทุกกำลังใจ จากครอบครัวและเพื่อนๆ ที่คงจะเขียนไม่หมดนั้น ตารางซ้อมจากโปรเจ็ค #Din330MarathonProject ของครูดิน แอดมินโจ สำหรับคำปรึกษาเรื่องตารางซ้อม เรารู้สึกว่าคนที่เราต้องขอบคุณมากที่สุด คือตัวเรา ที่มุมานะซ้อมและพาตัวเองก้าวข้ามมาอยู่ในจุดนี้ จุดที่เราสามารถเรียกตัวเองว่าเป็น #berlinlegend
Pingback: BMW Berlin Marathon 2023 - LET'S RUN THE WORLD