สัญญากับตัวเองไว้เมื่อปีที่แล้วว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ย้อนกลับไปเดือนเมษายนปีที่แล้ว (2016) ผมให้รางวัลกับตัวเองหลังจากจบ Boston Marathon 2016 ด้วยการหยุดงานและเที่ยวยุโรป 1 เดือนเต็ม ตอนที่มาปารีสก็มาวิ่งเล่นสูดอากาศยามเช้าริมแม่น้ำ Seine แล้วก็รู้ว่าเค้าเพิ่งมี Paris Marathon ไป… ก็เลยเปรยๆ กับตัวเองว่า… โอเค เจอกันนะปีหน้า Paris Marathon 2017 “ฉันจะมา”
อะไรก็สัญญากับตัวเองไว้ เราก็ต้องทำ จริงมะ… ถ้าสัญญากับตัวเองแล้วทำไม่ได้ ก็อย่าคิดให้คำสัญญาตั้งแต่แรก แล้วก็อย่าไปเที่ยวสัญญาอะไรกะคนอื่น
ตัดกลับเข้าเรื่อง พอถึงเวลาเปิดรับสมัคร ก็กดเลย จ่ายตังค์เลย เรื่องลางานจะลาได้หรือไม่ได้ มันเป็นเรื่องอนาคต ยังไม่ถึงเวลาต้องไปกังวลกะมัน แต่ส่วนใหญ่แล้วปาฏิหาริย์จะมีจริง และคราวนี้ก็เช่นกัน งานไม่ยุ่ง ลางานสบายผ่านฉลุย
ผมออกจากบอสตันเย็นวันอังคาร มาถึงปารีสวันพุธเช้า แบกกระเป๋ามาสองใบใหญ่ (เตรียมตัวกลับเมืองไทยช่วงสงกรานต์) มาถึงที่พักก็แบกกระเป๋าขึ้นบันได 4 ชั้น ไม่มีลิฟต์ ถือเป็นการออกกำลังกายให้หัวใจสูบฉีดเป็นอย่างดี หลังจากนอนพักแป๊บนึง ก็เริ่มรายการตะลุยกินตามลิสที่เตรียมมา มาปารีสครั้งนี้เราไม่ไป Eiffel เราไม่ไป Louvre เราไม่ไป Notre Dame เราไม่ไปประตูชัย เราไม่ไป Champs-Élysées… แต่เราจะมากิน! ทัวร์กินคราวนี้ไม่ใช่ร้านดังร้านแพงที่เคยกิน แต่จะเน้น concept hidden gem ข้างทาง ผมเพลินกับการเดินเข้าร้านนี้ออกร้านโน้น ตอนเช้ามีโอกาสก็ไปวิ่งวอร์มอัพเอาวิวพระอาทิตย์ขึ้น การมีเที่ยวแบบไม่ได้เป็น tourist ก็สบายไปอีกแบบ
มาถึงวันเสาร์ ไปรับบิบที่ Paris Expo หน้างานคนเยอะใช้ได้ทีเดียว แถว security ยาวมาก พอเดินเข้าไปต่อคิวจะรับบิบ เค้าบอกว่าต้องมี medical certificate ไม่งั้นจะรับบิบไม่ได้… นี่เป็นบทเรียนความสะเพร่าที่ไม่ได้อ่านอีเมลเลย ในอีเมล registration มีเขียนอยู่จริงๆ ว่าให้นำใบรับรองแพทย์มา แต่เป็นบรรทัดที่อยู่ล่างๆ ซึ่งเราอ่านไม่หมดจริงๆ แต่ปัญหาทุกอย่างมีหนทางแก้ไขฮะ วิ่งออกจากงาน expo ไปหาหมออย่างรวดเร็ว โชคดีมีเพื่อนที่พูดฝรั่งเศสได้โทรนัดหมอให้ อยู่ไม่ไกลจากงานรับบิบ ไปถึงหมอ โอ้โห คนเยอะมาก มีแต่นักวิ่งที่ไม่ได้อ่านอีเมลทั้งนั้น…
หลังจากรอคิวอยู่เกือบชั่วโมง (หมอตรวจคนละประมาณ 10 นาที) สรุปโดนค่าใบรับรองแพทย์กันไปคนละ 50 ยูโร ถือว่าช่วยเหลือการกระจายรายได้ให้หมอฝรั่งเศส 🙂 ได้ใบรับรองแพทย์ (ซึ่งอ่านไม่ออกว่าเค้าเขียนว่าอะไร) เดาว่าก็คงรับรองว่าสุขภาพปกติดี รับรองว่าสามารถวิ่งมาราธอนได้… ผมรีบวิ่งตรงดิ่งกลับมาที่งาน expo ต่อคิว security อีกรอบ คราวนี้คิวยาวกว่าเดิมอีก สุดท้ายก็ได้รับบิบ… วันนี้ถือเป็นการซ้อมวิ่ง 10K ดีๆ เลย ในงานก็จัดได้ใหญ่โตดี ผมเดินอยู่ไม่นานเท่าไหร่เพราะหิวและนัดเพื่อนไว้ก็เลยรีบออกมาแล้วนั่งรถไฟกลับเข้ามาในเมือง
หกโมงเช้าวันที่ 9 เมษายน ได้ SMS wake up message จาก Paris Marathon… ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน… น้ำไม่อาบละกันเนอะ เพราะเราเป็นคนจิตใจสะอาด ถือว่าสะอาดมาจากข้างใน… เดินลงไปปากซอยซื้อ croissant 2 ชิ้น กาแฟแก้วนึง เดินกลับขึ้นมาที่พัก แต่งตัวไปกินไป อร่อยจริงๆ ความสุขของการอยู่ที่นี่คือ croissant ไม่ต้องร้านดัง ร้านปากซอยข้างถนนโง่ๆ ราคายูโรเดียว แต่อร่อยกรอบถึงใจ
จากที่พักนั่ง Metro ยาวถึง Arc de Triomphe เลย วันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่รถ Metro แน่นไปด้วยนักวิ่ง ขึ้นจากสถานีมาก็ถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย เอากระเป๋าไปฝาก แล้วเดินย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น วันนี้อยู่ใน group 4:00 คนเยอะมากๆ ทางเข้าดูเหมือนจะแคบเกิน ระบบการจัดการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ระบบความปลอดภัยหละหลวมมาก คนที่เดิน shopping แถว Champs-Élysées ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็เดินเบียดๆ ปนไปกับนักวิ่งที่พยายามหาทางเข้ามาในลู่วิ่ง
เริ่มปล่อยตัวก็เป็นการลงเนินเบาๆ บนถนน Champs-Élysées ที่เป็น cobblestone วิ่งแล้วเจ็บเท้าชะมัด แถมยังวิ่งสู้พระอาทิตย์ที่ขึ้นมาส่องหน้าแบบเป๊ะๆ หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นเนินขึ้นสลับไปสลับมา เนินซึมๆ บ้าง เนินชันๆ บ้าง… เฮ้ยแต่ไม่มีลงเนินเลยเหรอว้า… ผมวิ่งเกาะกับพี่บอลและนุ่นมาตลอด อากาศวันนี้เป็นวันที่ร้อนที่สุดในสัปดาห์ แดดแรงแบบไม่มีเมฆโผล่มาซักก้อน… ก้มดูนาฬิกาแล้วพบว่า pace เราตกลงไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ความรู้สึกตัวเองบอกว่าเราวิ่งด้วยสปีดเท่าเดิมตลอด… สรุปว่าผ่านระยะ half มาด้วยเวลาประมาณ 2 ชม กว่าๆ … ก็คิดในในว่า ถ้าวิ่งแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งอะไรเพิ่มแล้ว ชมวิวเมืองข้างทางไป ก็น่าจะจบสวยๆ 4 ชม ครึ่งได้…
บรรยากาศงานวิ่งก็เหมือนงาน Marathon Major อื่นๆ ทั่วไปครับ งานระดับโลก คนเยอะ เมืองสวย ปิดเมือง ปิดถนน 100% มีคนเชียร์ข้างทางตลอด มี costume ขำขำให้ดูระหว่างทาง งานนี้เค้าแจกน้ำเป็นขวดเล็กๆ และรณรงค์ให้นักวิ่งถือขวดน้ำไป โดยมีถัง recycle รอไว้ระหว่างทาง ส่วนขยะเปียกพวกเปลือกกล้วยเปลือกส้มก็แยกไว้ให้อีกถัง แต่ดูเหมือนไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะเวลาวิ่งเอาเข้าจริงๆ ถังขยะมันไม่ได้วางไว้ถูกที่ซะทีเดียว แต่ก็ถือว่ายังดีที่พยายามทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อม คิดว่าเค้าคงเอาไอเดียนี้ไปปรับปรุงในปีถัดๆ ไป… ปล. อยากจะบอกว่าส้มหวานมาก ผมหยุดกินส้มจริงจังเกือบทุกโต๊ะเลย
และด้วยความตะกละของผม หยุดกินส้มนานไปหน่อย ผมมาพลาดหลงกับพี่บอลเอาที่ระยะประมาณ half นี่แหละครับ… ผมก็นึกว่าพี่บอลอาจจะกินน้ำแล้วก็วิ่งไปข้างหน้าแล้ว ก็เลยพยายามวิ่งเร็วขึ้นไปข้างหน้า แต่ก็หาไม่เจอ สรุปตัวใครตัวมันละกัน เดี๋ยวไปเจอกันที่เส้นชัยอย่างที่นัดกันไว้… ช่วงริมแม่น้ำ Seine ก็มีวิ่งขึ้นๆ ลงๆ อุโมงค์ตลอด พร้อมกับแดดเที่ยงตรงที่ส่องลงหัวเป๊ะๆ เริ่มเหนื่อยละครับ แต่ขายังสับไปเรื่อยๆ
มาถึงประมาณ km 33 ที่เหมือนจะขึ้นเนินอีกครั้ง ในใจเริ่มคิดว่า… เอ๊ะหยุดเดินดีมั้ย “สวัสดีคร้าบบบบ” เสียงทักมาจากข้างหลัง เป็นนักวิ่งคนไทยอีกคนครับ ชื่อพี่โต้ง นับว่าโชคดีที่ได้เจอพี่โต้งนะครับ เพราะถ้าไม่เจอกัน ผมก็คงเดินไปแล้ว การได้มาเจอเพื่อนนักวิ่ง มีเพื่อนคุยไปตลอดทาง มันทำให้เราย้ายจุด focus จากความเหนื่อยของเราออกไป จริงๆ ก็ดูเหมือนพี่โต้งก็อยากจะถอดใจเทเหมือนผมแหละ แต่เราคุยกันว่าไปด้วยกันเรื่อยๆ keep momentum อย่าหยุด…
ช่วงท้ายๆ เราไปวนอยู่ใน Bois de Boulogne ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ทางตะวันตกของปารีส พอออกมาจาก park ก็วนขึ้นมามุ่งหน้าสู่ finish line แบบไม่ทันตั้งตัวเลยครับ สรุปพี่โต้งและผม เราลากกันมาด้วยกันตั้งแต่ km 33 จนจบ ต้องขอขอบคุณพี่โต้งมา ณ โอกาสนี้ครับ
สรุปผลประกอบการวันนี้ก็จบไปด้วยเวลา 04:36:05 ไม่ใช่ New PB แต่ก็ถือว่าสนุกและทำได้ดีสำหรับที่ซ้อมมา จากประสบการณ์ที่ผ่านมา บอกตรงๆ ว่า ซ้อมแค่ไหนก็ได้แค่นั้นจริงๆ ครับ
Thanks for the inspiration.