ทรานส์ไซบีเรีย – นั่งรถไฟไปวิ่งมาราธอน

นั่งรถไฟไปวิ่งมาราธอน ทรานส์ไซบีเรีย

การนั่งรถไฟทรานส์ไซบีเรียเป็นหนึ่งในความฝันของนักเดินทางหลายๆ คน ตอนที่มานั่งเลือกงานวิ่งในประเทศรัสเซียว่าจะวิ่งงานไหนดี ชื่อที่เข้ามาอยู่ในลิสต์ก็มี Moscow Marathon, Siberian International Marathon และ Baikal Ice Marathon… ตอนนั้นมองว่า เราเริ่มเบื่อกับการวิ่งงานมาราธอนเมืองหลวงแล้ว มันดูซ้ำซาก จำเจ เลยตัด Moscow ทิ้งไป ส่วน Baikal Ice Marathon ก็ดู hardcore เกินไปสำหรับเราในตอนนั้น… ก็เลยเลือก Siberian International Marathon นี่แหละ แล้วเราก็จะได้นั่งรถไฟทรานส์ไซบีเรียด้วย งานจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคม บรรยากาศของไซบีเรียในช่วงฤดูร้อนก็น่าจะมีสีสันไปอีกแบบ

มารู้จักคำว่า “ทรานส์ไซบีเรีย” กันก่อน

trans-siberian railway

ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเริ่มจาก Moscow (ตะวันตกของรัสเซีย) ยาวไปจนถึง Vladivostok (ตะวันออกของรัสเซีย) ตามที่เห็นเป็นเส้นสีน้ำเงิน นักท่องเที่ยวจากยุโรปบางคนอาจจะเริ่มทริปตั้งแต่ยุโรปตะวันตก นั่งรถไฟมาที่ St.Petersburg เข้ามา Moscow (ตามเส้นสีแดง) ยิงยาวไป Vladivostok แล้วก็ยังสามารถขึ้นเรือจาก Vladivostok ไปญี่ปุ่นได้ด้วย ก็จะนับระยะการเดินทางที่มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงโลกเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวจากไทยส่วนใหญ่จะไปตั้งต้นเริ่มที่ปักกิ่ง เป็นการนั่งรถไฟจีนเข้าไปในมองโกเลีย (เส้นสีเขียว ชื่อว่า ทรานส์มองโกเลีย) แล้วไปเปลี่ยนเป็นรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียที่เมือง Ulan-Ude นั่งไปจบที่ Moscow หรือจะนั่งต่อไปอีกจนถึง St.Petersburg ก็ได้ ส่วนเส้นสีส้มออกจากปักกิ่ง ผ่านเมือง Harbin เข้าไปเปลี่ยนเป็นสายทรานส์ไซบีเรียที่เมือง Chita เส้นนี้จะเรียกว่า ทรานส์แมนจูเรีย

ถ้าเรานั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจาก Moscow ถึง Vladivostok แบบไม่หยุดลงที่ไหนเลย ก็จะใช้เวลา 7 วัน 7 คืนเต็มอยู่บนรถไฟ (เส้นสีน้ำเงิน) นั่นหมายถึงนั่งอย่างเดียวแบบไม่หยุดลงเที่ยวที่ไหนเลย แต่ถ้าเราจะแวะลงเที่ยวในเมืองต่างๆ เราจะต้องทำการวางแผนก่อน ว่าจะหยุดที่เมืองไหน วันไหน นานแค่ไหน ต้องทำการซื้อตั๋วรถไฟทีละขา เราต้องแพลนซื้อตั๋ว A-B, B-C, C-D… เอง ต้องเช็คตารางรถไฟและวันเวลาด้วย เช่น บางสายมีแค่วันคู่ บางสายมีแค่วันคี่ ฯลฯ ว่าสะดวกกับแผนเที่ยวของเราในแต่ละเมืองมั้ย เนื่องจากเรามี agenda ที่ล็อควันไว้ว่าเราจะต้องไปวิ่งมาราธอนที่เมือง Omsk เราจึงยึดอันนี้เป็นหลัก

หลังจากลองเปรียบเทียบว่าจะเริ่มต้นจากไหน ไปจบที่ไหนได้บ้าง เราได้ข้อว่าสรุปเราจะเริ่มต้นทริปของเราที่ Moscow แล้วนั่งรถไฟทรานส์ไซบีเรีย แวะลงเที่ยวที่เมือง Kazan, Yekaterinburg แล้วมาที่เมือง Omsk เพื่อวิ่งมาราธอน จากนั้นจะขึ้นรถไฟไปลงที่เมือง Irkutsk แล้วหาซื้อทัวร์ไปทะเลสาบ Baikal จากนั้นเราจะนั่งรถไฟต่อ และเปลี่ยนเป็นสายทรานส์มองโกเลียไปลงที่เมือง Ulaan-Baatar โดยจะซื้อทัวร์เที่ยวในมองโกเลีย 2-3 วัน ถือเป็นการจบทริปของเราในครั้งนี้

การจองตั๋วรถไฟทรานส์ไซบีเรีย สามารถจองเองได้ ง่ายมากๆ

  1. เข้าให้ถูกเว็บไซต์ https://pass.rzd.ru/main-pass/public/en อันนี้เป็นเว็บไซต์ของการรถไฟโดยตรง ราคาถูกที่สุด ถ้าเว็บไซต์อื่นอาจจะมีบวกค่าดำเนินการหรือคอมมิชชั่นเพิ่มอีก
  2. แนะนำให้ลงทะเบียน สร้าง login ไว้ เวลาซื้อตั๋วก็จะได้อยู่ใน account ของเรา
  3. ระวังให้ดีเรื่องเวลา เพราะรัสเซียมีหลาย time zone เวลาตามตารางรถไฟส่วนใหญ่จะเป็น Moscow Time (MCK) ถ้ามีเขียนกำกับว่า local time ก็แปลว่าจะเป็นเวลาของเมืองนั้นๆ
  4. เลือกคลาส ว่าจะซื้อแบบไหน ชั้น 1 (เป็นห้องส่วนตัว) ชั้น 2 (เป็นสัดส่วน แต่ก็อาจจะมีคนอื่นในคอกเดียวกัน) ชั้น 3 (นอนรวม แต่มีผ้าม่านปิด) จากนั้นจะบังคับให้เลือกโบกี้​ (car) ซึ่งจะมีรายละเอียดบอกว่า service class ประเภทไหน category อะไร ราคาก็จะแตกต่างกันไป จากนั้นก็เลือกที่นั่ง ดูให้ดีว่าเป็น lower หรือ upper (เตียงบนหรือเตียงล่าง)
  5. ระวังเรื่องชื่อนามสกุลของผู้โดยสารแต่ละคนที่จอง ตัวสะกดต้องให้ตรงเป๊ะๆ ในพาสปอร์ต
  6. ตั๋วรถไฟจะจองได้ล่วงหน้าอย่างมากสุด 60 วัน และอย่างน้อยสุดคือก่อนรถไฟออก 1 ชั่วโมง

ได้ตั๋วมาเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ print ตั๋วเผื่อไว้ด้วย แน่นอนแหละว่าสมัยนี้ทุกอย่างมันโชว์บนมือถือได้ และก็อยากจะช่วยรักษ์โลก แต่บางทีก็เพื่อความปลอดภัยของเราในกรณีมือถือหายกลางทางระหว่างเที่ยว… เราลองมาดูหน้าตาตั๋วรถไฟกันก่อน ว่าเป็นยังไง อ่านยังไง

ด้านบนก็จะมีเลขตั๋ว เลขคำสั่งซื้อ ข้อมูลทั่วไปของผู้โดยสาร ซึ่งนายสถานีจะเป็นคนตรวจชื่อผู้โดยสารกับบัตรประจำตัวหรือพาสปอร์ตว่าตรงกันหรือไม่ ข้อมูลพวกต้นทาง ปลายทาง เลขขบวน โบกี้ที่เท่าไหร่ ที่นั่งเท่าไหร่ยังไง อันนี้คิดว่าตรงไปตรงมา แต่ที่อยากจะให้ลองสังเกต คือเวลารถออกที่วงสีเขียว กับเวลาถึงที่วงสีน้ำเงิน

เวลารถออก 20:42 (MCK+3) แปลว่าเวลานี้เท่ากับเวลา Moscow บวกไปอีก 3 ชั่วโมงแล้ว นั่นก็คือเวลาของเมือง Omsk (เมือง Omsk เวลาเร็วกว่าเมือง Moscow 3 ชั่วโมง) ถ้าเรามาดูด้านล่าง เวลารถออกจะเขียนว่า 17:42 (MCK) นั่นคือเวลา Moscow เราต้องรู้เองว่าต้องบวกเพิ่มอีก 3 ชั่วโมงจึงจะเป็นเวลาของเมือง Omsk

ตั๋วรถไฟบางอัน จะเขียนเป็นเวลา Moscow ทั้งหมด ทั้งข้างบนและข้างล่าง ซึ่งปกติก็จะมีวงเล็บไว้ว่า (MCK) ในขณะที่ตั๋วรถไฟบางอัน อาจจะเป็นเวลาของแต่ละเมืองทั้งหมด ทั้งข้างบนและข้างล่าง ซึ่งก็จะมีบอกว่า MCK บวกไปอีกเท่าไหร่ หรือ UTC บวกไปอีกเท่าไหร่ หรือบางทีก็จะมีเขียนกำกับตัวเล็กๆ ว่า local time ไปเลย อันนี้ต้องดูให้ดีๆ ครับ

ส่วนเรื่องความตรงต่อเวลาของรถไฟ คิดว่าค่อนข้างตรงเวลาเลยทีเดียว ตลอดทั้งทริปของพวกเราเจอรถไฟที่ช้ากว่าตารางเวลาแค่ครั้งเดียว แล้วก็แค่ 5 นาทีเองด้วย ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับพวกเราเลย

อ้อ… ลืมบอกไปว่า ตั๋วรถไฟจาก Irkutsk ไป Ulaan-Bataar เราไปซื้อเอาหน้างานที่สถานี Moscow เนื่องจากเป็นรถไฟข้ามประเทศ เหมือนว่าตอนนั้นเค้าไม่อนุญาตให้ซื้อผ่านเวบ (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ซื้อได้มั้ย) แต่เดาว่าเค้าคงต้องตรวจเอกสารให้แน่ใจว่าเราเข้าประเทศมองโกเลียได้ ซึ่งพาสปอร์ตไทยเราสามารถเข้ารัสเซียและมองโกเลียได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าอยู่แล้ว อันนี้ก็สบายไป ถ้าวางแผนดีแล้ว จองโรงแรมแต่ละเมืองแล้ว ซื้อตั๋วรถไฟแล้ว จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางกันได้เลย

DAY 0: ออกเดินทาง

ผมเดินทางออกจากสหรัฐอเมริกาด้วยสายการบิน Lufthansa ไปต่อเครื่องที่ Munich แล้วมาลงที่สนามบิน Moscow Domodedovo Mikhail Lomonosov Airport (DME) มาถึง Moscow กว่าจะนั่งรถไฟเข้าเมืองก็เย็นแล้ว เหนื่อยกับการเดินทาง บวกกับการเปลี่ยน time zone ทำให้ง่วงมากๆ เลยซื้อของกินง่ายๆ เข้าที่พักแล้วก็รีบพักผ่อน วันนี้ถือว่ายังไม่นับ เรียกว่าเป็นวันที่ 0 ของทริปละกัน

Moscow Domodedovo Mikhail Lomonosov Airport
Moscow Domodedovo Mikhail Lomonosov Airport

DAY 1: MOSCOW (Москва)

Moscow Run
10K Moscow City Run

ตื่นเช้าขึ้นมาวันแรกก็ยังมึนๆ กับการปรับเวลากันนิดหน่อย เดือนกรกฎาคมเป็นฤดูร้อน พระอาทิตย์ขึ้นเร็วมาก ตีสี่กว่าๆ ก็สว่างแล้ว อากาศกำลังเย็นสบาย (20 องศา) เลยออกมาวิ่ง city run สำรวจเมืองว่ามีที่เที่ยวอะไรบ้าง จนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว ว่าไปเที่ยวเมืองไหนก็จะวิ่งสำรวจเมืองซัก 10K เพื่อเป็นการถือว่าเราได้มาเหยียบเมืองนี้แล้วจริงๆ ก็วิ่งผ่านครบเกือบทุกสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ใน Moscow แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาเก็บรายละเอียดกันอีกที

ระหว่างรอเพื่อนร่วมทริป ช่วงเช้าเลยนั่งรถไฟออกไปตลาดนัดมือสอง Izmaylovskiy Bazar มีอะไรแปลกๆ ให้ดูเยอะดี ใครอยากซื้อของเก่า ของที่ระลึก ที่นี่น่าจะเหมาะที่สุด โดยเฉพาะ Matryoshka หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ตุ๊กตาแม่ลูกดก” ซึ่งเป็นตุ๊กตาที่มีโพรงข้างใน ใส่ซ้อนกันได้หลายตัว จนถึงตัวเล็กสุดจะเป็นตุ๊กตาเต็มตัวและตันเพียงชิ้นเดียว การใส่ตุ๊กตาตัวเล็กซ้อนลงไปหลาย ๆ ตัว เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ นับเป็นเครื่องหมายอันเป็นของมงคล จึงนิยมให้เป็นของขวัญในเทศกาลต่างๆ

Izmaylovskiy Bazar
เดินดูของเก่า ของสะสมใน Izmaylovskiy Bazar

ข้างทางมีรถเข็นขายเครื่องดื่มอะไรบางอย่าง ซึ่งทีแรกเราคิดว่าเป็นเบียร์ดำ เหมือนมีถังเบียร์หรือถังอัดแก๊สต่อสายไว้แล้วกดโยคก๊อกเหมือนเบียร์สด แต่มันคือ KBAC อ่านออกเสียงว่า “คว้าส” (B ในภาษารัสเซีย คือ V ในภาษาอังกฤษ และ C ในภาษารัสเซีย คือ S ในภาษาอังกฤษ) ถ้าให้เขียนแบบภาษาอังกฤษ ก็จะเป็น KVAS เลยอ่านออกเสียงว่า “คว้าส” นั่นแหละ หรือถ้าใครเคยสงสัยว่าที่สถานี Moscow ทำไมถึงเขียนว่า MOCKBA ก็ลองแปลงจากอักษรรัสเซียกลับมาเป็นอักษรอังกฤษ ก็จะได้เป็น MOSKVA ก็คือมอสโควนั่นเอง กลับมาที่เครื่องดื่ม “คว้าส” มันคือน้ำหมักขนมปังสีดำ ถ้าจะให้อธิบายรสชาติคงบอกว่ามันคล้ายกับยาจีนโบราณหวานๆ แล้วมีการอัดแก๊สเข้าไป ก็จะซ่านิดๆ ไม่มีแอลกอฮอล์หรือถ้ามีก็คือจะน้อยมากๆ ดื่มตอนอากาศร้อนๆ ก็ชื่นใจดี เหมือนดื่มน้ำอัดลมนั่นแหละ

KBAC
KBAC เครื่องดื่มน้ำหมักขนมปัง

ช่วงเย็น “พี่กิ” ผู้ร่วมทริปอีกคนเดินทางมาถึง พี่กิเดินทางจากกรุงเทพด้วยสายการบิน Aeroflot มาลงที่ Sheremetyevo Alexander S. Pushkin International Airport (SVO) หลังจากเก็บกระเป๋าเข้าที่พัก ในช่วงที่พวกเรามาอยู่ Moscow วันนี้มีงานวิ่งชื่อว่า Moscow 10K Night Run จัดขึ้นแถวๆ ริมแม่น้ำ Moscow พอดี พวกเราเลยมาเดินเที่ยว Red Square ยามเย็น ก่อนที่จะแอบไปสังเกตการณ์บรรยากาศงานวิ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน

St. Basil's Cathedral + Red Square
โบสถ์ St. Basil’s Cathedral และ Red Square ยามค่ำคืน

DAY 2: MOSCOW (Москва)

Saint Basil's Cathedral
Saint Basil’s Cathedral มุมบังคับของ Moscow

เราเที่ยว Red Square กันตอนเช้า นัดเจอกับเพื่อนร่วมทริปอีก 2 ราย ที่บังเอิญมาเที่ยว Moscow ในจังหวะเวลาตรงกันพอดี “พี่ปอม และ พี่ปอ” พวกเราไปถ่ายรูปกันที่ Saint Basil’s Cathedral หรือที่คนเค้าเรียกกันว่าโบสถ์หัวหอม ซึ่งเป็นมุมบังคับ ใครมา Moscow ถ้าไม่ได้ถ่ายรูปกับโบสถ์นี้ก็เหมือนมาไม่ถึง

Cathedral of Christ the Savior
Cathedral of Christ the Savior

เราค่อยๆ เดินเลียบแม่น้ำ Moscow ไปที่ Cathedral of Christ the Savior เป็นโบสถ์ Orthodox ที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก บังเอิญว่าเราแต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย (ขาสั้น) เลยไม่ได้เข้าไปในโบสถ์ ทำได้แค่เดินถ่ายรูปรอบๆ จากนั้นเราไปเดินเล่นและหามื้อกลางวันง่ายๆ ทานกันแถวถนน Arbat ซึ่งเป็นถนน shopping ที่คึกคักเลยทีเดียว 

Arbat Street
Arbat Street

ในช่วงบ่ายๆ เราทำการทัวร์สถานีรถไฟใต้ดินกัน สถานีรถไฟใต้ดินใน Moscow แต่ละสถานีจะสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันไป และยังสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และเรื่องราวความเป็นรัสเซียด้วย

สถานี “Paveletskaya” – ถือว่าเป็นผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอก ของ Alexei Dushkin ทั้งผนังและเสาหลักมีการตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวที่คมชัด ผนังได้รับการตกแต่งด้วยหินแกรนิตสีเทา มีโคมไฟที่ติดตั้งอยู่ในซุ้มส่องสว่างกลางห้องโถงใหญ่ของสถานี

สถานี “Elektrozavodskaya” – ระหว่างการก่อสร้างใช้เป็นที่หลบภัยจากการทิ้งระเบิดของเยอรมันในช่วงสงคราม ตั้งชื่อตาม โรงงานที่ผลิตหลอดไฟฟ้าที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้น ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับสถานีนี้ การออกแบบในส่วนของผนังเพดาน มีการติดดวงไฟกลมขนาดใหญ่ให้สมกับชื่อโรงผลิตหลอดไฟฟ้า ในส่วนของผนังเป็นงานแกะสลักปูนปั้น ที่งดงามครับ สถาปนิกที่ออกแบบสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนี้ Vladimir Shchuko ซึ่งผู้ออกแบบตัวอาคาร Russian State Library (หอสมุดแห่งชาติมอสโก) นับเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของ Shchuko ซึ่งได้เสียชีวิตลงหลังจากการก่อสร้างสถานีแห่งนี้เสร็จสมบูรณ์

สถานี “Novokuznetskaya” – เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมต่อของศตวรรษที่ผ่านมาและปัจจุบัน ใช้รูปปั้นนูนต่ำแสดงถึงกรรมาชีพของชนที่แตกต่างกัน บนแผงเพดานเป็นภาพฉากโมเสคจากชีวิตของสังคมคอมมิวนิสต์ยูโทเปีย

พวกเรานั่งรถไฟไปมา และหยุดถ่ายรูปพร้อมกับหยิบหนังสือนำเที่ยวขึ้นมาอ่านเรื่องราวได้อยู่ประมาณ 5-6 สถานี รู้สึกว่าอิ่มข้อมูลมาก แต่ท้องเริ่มหิวแล้ว ก็เลยตรงไปยังร้านที่พี่ปอแนะนำ

Moscow Subway
ทัวร์สถาปัตยกรรมสถานีรถไฟใต้ดินใน Moscow

มื้อเย็นเราไปจบกันที่ร้าน Cafe Pushkin อาหารดีมากๆ ทุกอย่างอร่อย บริการดี ไม่มีที่ติ ราคาอาจจะสูง แต่ไม่ขอใช้คำว่าแพง เพราะรู้สึกคุ้มค่าทุกเม็ดเงิน (มื้อนี้ 4 คน มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3 แก้ว entree 4 จาน ของหวานอีก 2 จาน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,500 บาท) ถ้าไป Moscow คราวหน้าก็คิดว่าจะกลับไปที่ร้านนี้อีก

Cafe Pushkin
Cafe Pushkin

จบจาก dinner เรากลับโรงแรมอาบน้ำและรีบบึ่งไปสถานีรถไฟ Kazansky Railway Station เพื่อขึ้นรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย… การผจญภัยเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

Kazansky Railway Station
มาขึ้นรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียที่ Kazansky Railway Station

DAY 3: KAZAN (Казань)

เพื่อนใหม่บนรถไฟทรานส์ไซบีเรีย
เพื่อนใหม่บนรถไฟทรานส์ไซบีเรีย

หลังจากอยู่บนรถไฟตู้นอนทั้งคืน เราตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ ในตู้นอนรถไฟชั้น 2 จะมีห้องละ 4 คน ข้างบน 2 ข้างล่าง 2 แต่พอตอนเช้า คนที่นอนข้างบนสามารถลงมานั่งข้างล่างได้หลังจากคนที่อยู่ข้างล่างตื่นและเก็บที่นอน ป้าคนนึงตื่นแต่เช้าและลงจากรถไฟไปก่อน สรุปว่าในห้องเราเหลือแค่ 3 คน มีน้องผู้หญิงชาวรัสเซียอีกคนชื่อ Angie เป็นนักเรียน IR พูดภาษาอังกฤษได้ดี พวกเราเลยไม่ลำบากแต่ความที่เป็นเอเชียของพวกเราดูช่างเป็น rare item มากมาย ทำให้ป้าๆ ห้องข้างๆ อยากจะเข้ามาพูดคุยด้วยยิงภาษารัสเซียใส่เราไม่ยั้ง เราก็ตอบอังกฤษไปไม่ยั้งแต่สุดท้ายแล้ว ภาษาสากลคือรอยยิ้มและการแบ่งปัน ป้าแบ่งขนมปัง ไส้กรอกให้พวกเรากิน เราก็ชงกาแฟ แบ่งน้ำขิงผงสำเร็จรูปให้ป้ากลับไปลองกินคนรัสเซียโดยปกติแล้วไม่ค่อยยิ้ม ออกจะหน้าบึ้งๆ ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเรายิ้มให้เค้าไปก่อน ส่วนใหญ่ก็จะยิ้มกลับมา แม้ว่าบางคน เราสามารถดูรู้เลยว่า เค้าเป็นคนยิ้มไม่บ่อย แต่ก็ยังพยายามยิ้มกลับ มันเป็นสัญญาณตอบรับว่า เราไม่ได้เป็นศัตรูกัน เราเป็นมิตรกัน

Kazan Station
มาถึงสถานี Kazan ช่วงสายๆ แดดกำลังดี
Kazan City Run
Kazan City Run

เราถึงเมือง Kazan ประมาณสิบโมงเช้า เราดูแผนที่แล้วโรงแรมอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ (ประมาณ 1.5 km) พวกเราเป็นนักวิ่ง ไม่เรียกแท้กซี่อยู่แล้ว เราเดินลากกระเป๋าใหญ่ๆ ของเราไปจนถึงโรงแรม อันนี้เผื่อคนสงสัย ลืมบอกไปว่าการเดินทางด้วยรถไฟทรานส์ไซบีเรีย นักท่องเที่ยวจะมีกระเป๋าใบใหญ่แบบนี้กันเกือบทุกคน เราสามารถใส่กระเป๋าเดินทาง (29 นิ้ว) ไว้ใต้ที่นั่งได้ และยังมีชั้นวางกระเป๋าเหนือศีรษะอีก ซึ่งเราก็ต้องตกลงกับเพื่อนร่วมโบกี้ของเราเอง (กรณีรถไฟชั้น 3) ว่าใครจะวางกระเป๋าไว้ตรงไหน 

ที่เมือง Kazan มีถนนคนเดินอยู่หลังโรงแรม เราหาอาหารกลางวันทาน เดินเล่นย่อยนิดหน่อยก็บ่ายกว่าๆ แล้ว พี่กิบอกว่าขอกลับโรงแรมนอนพักนิดหน่อย เพราะเมื่อคืนนอนในรถไฟไม่ค่อยอิ่ม ส่วนผมตัดสินใจวิ่งรอบเมืองสำรวจว่ามีอะไรเที่ยวบ้าง วิ่งออกจากโรงแรมบนถนนคนเดินตรงขึ้นไปทางเหนือ ผ่านสุเหร่า Kul Sharif, Wedding Palace แล้วเลียบน้ำมาข้ามสะพาน Millennium Bridge กลับมาที่โรงแรม ก็ได้ไป 12 km ถือเป็นการเจิมเมืองนี้ ตามสไตล์วิ่งรอบโลก

Kazan
1. Google Translate จำเป็นมากๆ ในการหาของทาน 2. Bauman St. ถนนคนเดินใน Kazan 3. Philanthropist Monument 4. Metro Kreml’ 5. Kazan Wedding Palace 6. กลับมาที่ถนนคนเดิน

ตอนเย็นเราเดินจากโรงแรมผ่านถนนคนเดินไปร้าน Khinkalnaya ที่น้อง Angie บนรถไฟแนะนำมา เป็นอาหารสไตล์ Georgian อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว อันนี้เป็นเสน่ห์ของการท่องเที่ยวนอกหนังสือนำเที่ยว เราใช้ข้อมูลจากคนท้องถิ่น ก็มักจะเจอของดีและไม่แพง (มื้อนี้ทาน 2 คน มี appetizer 1 อย่าง, soup 1 ถ้วย, entree 2 จาน, ของหวาน 2 อย่าง, เครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ 2 แก้ว คิดเป็นเงินไทย 850 บาท)

Khinkalnaya
Khinkalnaya – ร้านอาหารสไตล์ Georgian

DAY 4: KAZAN (Казань)

วันรุ่งขึ้นในช่วงเช้าเราเติมกาแฟก่อนออกเดินเที่ยว สัญชาตญาณของเราบอกว่า ร้านนี้น่าจะเวิร์ค ดูมีเมล็ดกาแฟหลากหลาย บาริสต้าพูดภาษาอังกฤษได้ ให้เราจิบให้เราชิมหลายอย่าง เราได้รู้จักกับ Raph (раф อ่านออกเสียงว่าราฟ) เป็นเมนูกาแฟยอดนิยมของรัสเซียรวมถึงประเทศที่เคยอยู่ในอาณาจักรโซเวียต โดยใส่ครีมและน้ำเชื่อม (ดั้งเดิมเป็น vanilla syrup) ลงไปใน espresso shot แล้วค่อยใช้ปั่นผสมด้วย steamer เหมือนเวลาที่เค้าใช้ steamer ตีฟองนมสำหรับ latte นั่นแหละ

coffee
coffee first, then things

เราเที่ยวอยู่ในบริเวณ Kazan Kremlin (คำว่า Kremlin ในภาษารัสเซียหมายถึงป้อมปราการในตัวเมือง) ประกอบไปด้วย Kul Sharif (Qolşärif) Mosque ซึ่งเป็นสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดใน Russia และ Cathedral of Annunciation (โบสถ์เก่าแก่ในศตวรรษที่ 16) แม้ว่าศาสนาส่วนใหญ่ในรัสเซียจะเป็นคริสต์​ (แบบ Orthodox) แต่จะมีแคว้น Tatarstan ที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาหลัก Kazan เป็นเมืองหลวงของแคว้น Tatarstan จึงมีรอยต่อการเปลี่ยนแปลงจาก Orthodox มาเป็นอิสลาม และการอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืนให้เห็น

Kal Sharif Mosque
Kal Sharif Mosque
Cathedral of Annunciation
Cathedral of Annunciation

 

ช่วงบ่ายเราเดินชมสถาปัตยกรรมต่างๆ ในเมืองอีกนิดหน่อย แล้วก็กลับมาอาบน้ำเก็บของที่โรงแรม โรงแรมให้เราเช็คเอ้าท์ก่อนเที่ยง แต่ถ้าหลังเที่ยงแล้วอยากอาบน้ำ ก็จ่ายแค่ค่าผ้าเช็ดตัว แล้วก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้สบายๆ… เรานั่งแท้กซี่จากโรงแรมไปสถานีรถไฟ เพราะที่โรงแรมบอกว่า เรียกแท้กซี่ไปมันแค่ 100 RUB เองนะยู (50 บาท)… พวกเรานักวิ่งสายเปย์จึงไม่คิดหน้าคิดหลังรู้งี้ก็น่าจะนั่งแท้กซี่ตั้งแต่แรกเรามีเวลาเหลือเลยทานอะไรง่ายๆ ที่สถานีรถไฟ เป็นคล้ายๆ ร้านข้าวแกงนั่นแหละ ชี้ๆ เอา แล้วเค้าก็ตักให้ เหมือนข้าวราดแกง 2 อย่าง 3 อย่าง คิดราคาตามที่เราเลือก อิ่มแล้วรถไฟมาพอดี เราขึ้นรถไฟประมาณสองทุ่ม โดยมีเป้าหมายสถานีถัดไป Yekaterinburg… 

dinner at Kazan Station
หาอะไรทานง่ายที่สถานีรถไฟ Kazan
Kazan Station
1. ก่อนขึ้นรถไฟที่สถานี Kazan 2. ตารางเวลารถไฟ

DAY 5: YEKATERINBURG (Екатеринбург)

จาก Kazan ไป Yekaterinburg วันนี้เราจองเป็นรถไฟชั้น 3 ดูบ้าง ถือว่าลองความแปลกใหม่ได้เรื่องเลยครับ ร้อนมาก ไม่มีแอร์ แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบในตู้รถไฟนอนรวม แต่ข้อดีคือมีอะไรแปลกๆ ได้ดูและเรียนรู้จากผู้คน การเดินทางด้วยรถไฟ ทุกคนจะพกแก้วน้ำช้อนส้อมกันมาเอง มีขนมนมเนย และหนังสือซักเล่มแก้เบื่อบ้างก็เอาไพ่มานั่งเล่น เราก็พกอุปกรณ์ทำกาแฟมาเอง กดน้ำร้อนเอาในโบกี้ ตื่นเช้าขึ้นมาขอแค่มีกาแฟหอมๆ ก็พอแล้ว

on the train from Kazan to Yekaterinburg
on the train from Kazan to Yekaterinburg

ในเมือง Yekaterinburg พี่กิ request ว่าจะต้องไปที่ที่นึงให้ได้ คือ Church on Blood in Honour of all Saints ซึ่งเป็นโบสถ์ Orthodox ที่สร้างขึ้นบนสถานที่ที่ Tsar Nicholas II (กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ Romanov) ถูกฆ่าตายทั้งครอบครัวก่อนที่รัสเซียจะเปลี่ยนเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์

Church on Blood in Honour of all Saints
Church on Blood in Honour of all Saints

ภายในโบสถ์มี museum เล็กๆ ด้วย และเราก็ได้พบกับภาพที่พี่กิตามหา คือภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ของ ร.5 คู่กับ Tsar Nicholas II ซึ่งจุดประสงค์ของภาพนี้คือเพื่อที่จะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสยามและรัสเซีย เพื่อที่จะคานอำนาจของฝรั่งเศสที่จ้องจะล่าสยามให้เป็นอาณานิคม

Church on Blood in Honour of all Saints
Church on Blood in Honour of all Saints

เราใช้เวลาที่เหลือเดินเที่ยวตามเส้นทางที่ขีดไว้… ในเมือง Yekaterinburg จะมีแผนที่เดินเท้าสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะขีดเส้นเป็นสีต่างๆ ไว้บนทางเท้า สามารถเลือกได้ว่าจะเดินรอบเล็ก รอบใหญ่ ผ่านจุดท่องเที่ยวต่างๆ เราเริ่มจาก Black Tulip Momument ที่อยู่หน้าโรงแรมของเรา เป็นอนุสาวรีย์ที่รำลึกถึงทหารผ่านศึก

Yekaterinburg
1. Black Tulip Memorial 2. รถรางในเมือง Yekaterinburg 3. The Beatles Memorial 4. Keyboard Monument 5. The Invisible Man 6. Lenin Statue

DAY 6: YEKATERINBURG (Екатеринбург)

Yekaterinburg City Run
Yekaterinburg City Run

เราใช้เวลาในของเมื่อวานเที่ยวจุดสำคัญๆ ในเมืองจนเกือบครบเนื่องจากพยากรณ์อากาศว่าวันนี้จะมีฝน ทำให้วันที่สองของเราใน Yekaterinburg เป็นวันเบาๆ เริ่มต้นด้วยการวิ่งออกกำลังกาย city run รอบเมืองในช่วงเช้า แล้วกลับมาทำอาการเช้าทาน ที่ hostel มีครัวให้ใช้ และด้านล่างของตึกก็มีร้าน grocery ให้ซื้อวัตถุดิบง่ายๆ อาหารเช้าวันนี้ของเราก็เลยเป็น egg benedict, mashed potato, และผลไม้

breakfast in hostel
ทำอาหารเช้าง่ายๆ ใน hostel

เราใช้เวลาช่วงบ่ายทำ cafe hopping เดินชิวจิบกาแฟและเก็บตกเรื่อยเปื่อย บาริสต้าที่เมือง Kazan ให้ลายแทงมา ว่าถ้าไป Yekaterinburg ให้ไปลองกาแฟที่ร้านนั้น ร้านนี้… เราก็ไปลอง แล้วก็ได้ลองกาแฟ Raph ที่ใช้ orange syrup ด้วย ทีแรกฟังดูไม่น่าจะเข้ากัน แต่ก็อร่อยไปอีกแบบ

ตอนเย็นเรานั่ง Uber ไปสถานีรถไฟ เป็นรถไฟชั้น 3 อีกครั้ง แต่เป็นตู้นอนที่ใหม่กว่า ดูสะดวกสบายเลยทีเดียว

from Yekaterinburg to Omsk
บนรถไฟจาก Yekaterinburg ไปเมือง Omsk

DAY 7: OMSK (Омск)

เที่ยวมาตั้งนาน ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราจะได้วิ่งมาราธอนกันซะที พวกเรามาถึงเมือง Omsk กันตอนสายๆ หลังจาก check in ที่โรงแรม เรารีบไปรับบิบที่งาน expo เป็นงานที่จัดง่ายๆ แต่เป็นขั้นเป็นตอนเรียบร้อยดีมากๆ มีปัญหาเรื่องการสื่อสารเล็กน้อย แต่มีบูธอาสาสมัครที่มาช่วยพูดภาษาอังกฤษให้ ค่าสมัครวิ่งมาราธอนของพวกเราราคา 1200 RUB หรือประมาณ 600 บาทเท่านั้น

Siberian International Marathon
มารับบิบงาน Siberian International Marathon

วันนี้เรามีเวลาแค่ครึ่งบ่ายสำหรับการเดินเที่ยวเมือง Omsk ซึ่งก็เป็นเมืองเล็กๆ ไม่มีอะไรมากมาย เมือง Omsk ถือเป็นประตูสู่ไซบีเรีย ถ้าเราขับรถลงไปทางทิศใต้ก็จะถึงพรมแดน Kazakhstan… เราเริ่มต้นกันที่ Assumption Cathedral ซึ่งเป็นโบสถ์ใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง

Assumption Cathedral
Assumption Cathedral

ในช่วงสุดสัปดาห์นี้มีงานเทศกาลอะไรซักอย่าง เหมือนเป็นงานประจำปีของเมืองนี้ เลยทำให้เมืองเล็กๆ นี้มีสีสันขึ้นมา

Omsk
งานประจำปีของเมือง Omsk

ในช่วงเย็นเรามาเติมพลังงานมื้อสุดท้ายก่อนวิ่งมาราธอนกันที่ร้าน Khaus Missis Klaus เราได้ลองเครื่องดื่มชนิดใหม่ คือน้ำ Sea Buckthorns เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง ไม่เคยทานมาก่อน ชื่นใจดี อาหารอื่นๆ ก็เป็นเมนูทั่วไป รสชาติดี ราคาไม่แพง เราปิดท้ายด้วยของหวาน มารัสเซียก็ต้องทาน Honey Cake เป็นของหวานขึ้นชื่อของเค้า (มื้อนี้ทานกัน 2 คน มี appetizer 2 จาน, entree 2 จาน, ของหวาน 2 อย่าง, เครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ 2 แก้ว คิดเป็นเงินไทยรวมประมาณ 1,200 บาท)

Khaus Missis Klaus
Dinner ที่ร้าน Khaus Missis Klaus โหลดพลังงานสำหรับมาราธอนพรุ่งนี้

DAY 8: OMSK (Омск)

Marathon Day เราตื่นประมาณเจ็ดโมงเช้า นี่คือจุดประสงค์หลักของทริปนี้ เพื่อที่จะมาวิ่งมาราธอน หลังจากทานขนมปังไปคนละชิ้น เราค่อยๆ วิ่งวอร์มเบาๆ จากโรงแรมไปที่จุด start… วันนี้มีทั้งหมด 4 ระยะ 42K, 21K, 10K, 5K ผมวิ่งในระยะ full marathon (42K) ส่วนพี่กิเจ็บข้อเท้าเนื่องจากอุบัติเหตุเล็กน้อยก่อนทริปนี้ เลยเขียนอีเมลไปขอเปลี่ยนระยะจาก 42K เป็นวิ่ง 10K วันนี้แทน

Siberian International Marathon
ที่จุด start งาน Siberian International Marathon

อากาศเย็นสบาย (18-19 องศา) ปล่อยตัวออกไปพอวิ่งได้ถึงประมาณระยะ 15 กม เริ่มมีฝน และอากาศเย็นลงเรื่อยๆฝนมาหยุดเอาประมาณเที่ยงครึ่ง… 

Siberian International Marathon
เส้นทางวิ่งของ Siberian International Marathon รอบเมือง Omsk
Siberian International Marathon
Siberian International Marathon

พอเข้าเส้นชัยไป แดดออกพอดีอันนี้ส่วนตัวผมต้องขอบคุณฝนเพราะถ้าฝนไม่ตก ผมก็คงเพลินกับการถ่ายรูปถ่ายวีดีโอไปเรื่อยๆ จนไม่ได้วิ่งแต่พอฝนตก เก็บกล้อง วิ่งอย่างเดียวสรุปวันนี้จบมาราธอนที่เวลาประมาณ 3:50 ก็ถือเป็น sub4 marathon แบบเบาๆ

Siberian International Marathon
วิ่งจบก็พิมพ์ certificate แจก และสลักเวลาลงที่หลังเหรียญให้ด้วย

หลังจากแวะเอา certificate และสลักเวลาที่เหรียญ เราเดินเล่น หากาแฟทานนิดหน่อย ก่อนเข้าไปพักผ่อน เก็บของที่โรงแรม แล้วตรงไปสถานีรถไฟ

Omsk Station
ได้เวลาบอกลาเมือง Omsk

DAY 9: on the train

หลังจากวิ่งมาราธอนเสร็จ เรานั่งรถไฟจากเมือง Osmk โดยมีปลายทางเป็นเมือง Irkutsk เป็นการนั่งรถไฟที่ยาวนานที่สุดในทริปของเรา (40 ชั่วโมง) เราจะใช้เวลา 2 คืนอยู่บนรถไฟนี้ วันนี้เป็นรถไฟชั้น 2 ตั๋วรถไฟที่เราซื้อ มี option ให้เราสามารถเลือกซื้ออาหารในแต่ละมื้อได้ บางมื้อที่เราคิดว่ารถไฟน่าจะจอดที่สถานี เราก็ลงไปซื้ออาหารข้างทางเอา แต่มื้อแรกในช่วงเช้า เราขี้เกียจ ก็เลยซื้ออาหารเช้าไปพร้อมกับตั๋วรถไฟ ซึ่งก็มีเมนูมาให้เราเลือกว่าจะเป็นชากาแฟ ขนมปัง ชีส แต่เหมือนว่าไม่ได้เพียงพอกับความหิวของพวกเรา สุดท้ายรถไฟจอดตามสถานี พี่กิวิ่งลงไปซื้อปลาทอด ไก่ย่าง และต่างๆ นานามาทานเพิ่ม

Omsk to Irkutsk
บนรถไฟจาก Omsk ไปเมือง Irkutsk

สถานีไหนที่รถไฟจอดเกิน 15 นาที พวกเราก็จะลงไปเดินยืดเส้นยืดสาย ซื้อขนม กาแฟแก้เบื่อ ยิ่งเราออกห่างจาก Moscow ออกไปเท่าไหร่ มันยิ่งมีความเป็นบ้านนอกมากขึ้นเรื่อยๆ คนจะพูดภาษาอังกฤษได้น้อยลงเรื่อยๆ แต่ความน่ารักของคนและความปลอดภัยก็จะมีมากขึ้นเช่นกัน ปลั๊กในรถไฟชั้น 2 มีไม่ค่อยจะพอ ทุกคนเอาปลั๊ก 3 ตามาเสียบตรงทางเดิน แล้วก็เสียบต่อๆ กันไป ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โน้ตบุ้ค ไอแพด ชาร์จทิ้งไว้เลย ไม่หาย

Omsk to Irkutsk
ลงมาเดินเล่นเวลารถไฟจอด

 

Omsk to Irkutsk
มื้อเย็นในรถไฟดูเหมือนจะไม่พอ เราเลยวิ่งไปกดน้ำร้อนใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพิ่ม

เรานั่งมองข้างทางก็แล้ว หยิบหนังสือมาอ่านก็แล้ว เล่นไพ่ก็แล้ว… 40 ชั่วโมงบนรถไฟเป็นอะไรที่นานมากๆ จริงๆ

Omsk to Irkutsk
วิวข้างทางระหว่างไป Irkutsk

DAY 10: IRKUTSK (Иркутск) & OLKHON ISLAND (Ольхо́н)

เรามาถึงสถานี Irkutsk แต่ว่าเราไม่ได้เที่ยวเมือง Irkutsk เลย เพราะว่าทันทีที่ถึงเมือง Irkutsk ทางไกด์ก็มารับเราเพื่อมุ่งหน้าไป Olkhon Island พวกเราตัดสินใจซื้อทัวร์มาล่วงหน้า ราคา USD 200 ต่อคน ซึ่งรวมอาหาร ที่พัก รถที่มารับพร้อมไกด์นำเที่ยว 

Olkhon Island ที่เป็นเกาะใหญ่ที่อยู่ในทะเลสาบ Baikal ในทริปนี้เรามีเพื่อนร่วมทริปเป็นสาวสวยจาก Brazil ชื่อ Maíra ซึ่งซื้อทัวร์แพคเกจเดียวกันกับเรา ระหว่างทางวิวสวยมากๆ หยิบกล้องหันไปทางไหนก็สวยไปหมด เราใช้เวลาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงจากสถานี Irkutsk ไปท่าขึ้นเรือ ferry โดยมีการหยุดแวะเที่ยว 2-3 จุด และพักทานของว่างข้างทางด้วย

Irkutsk to Olkhon Island
ไกด์มารับเราจากสถานี Irkutsk แล้วขับรถไปที่ท่าเรือ ferry

ทะเลสาบ Baikal เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลกและมีปริมาณน้ำมากที่สุดในโลก ระหว่างทางจาก Irkutsk ไปลงเรือ ferry เราได้เห็นภูมิประเทศที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากเมืองเป็นทุ่ง จากทุ่งเป็นป่า จากป่าเป็นทะเลสาบ

Olkhon Island Ferry
ขึ้นเรือ ferry ข้ามไป Olkhon Island

นอกจากภูมิประเทศที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป เราก็จะได้เห็นวัฒนธรรมและรูปร่างหน้าตาของผู้คนที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปด้วย มันดูแปลกดี ที่เห็นคนหน้าตาคล้ายจีนหรือมองโกเลีย แต่ยังพูดภาษารัสเซียอยู่

Driving on Olkhon Island
เปลี่ยนเป็นรถ 4-wheel บนเกาะ

ในการที่เราพาตัวเองไปเที่ยวในที่แปลกๆ เราก็จะมักจะได้เจอคนที่ชอบเที่ยวในที่แปลกๆ เหมือนกันกับเรา คนที่มีความฝันว่าจะเที่ยวให้ครบรอบโลกเหมือนกับเรา แล้วเวลาเราเจอคนแบบเดียวกัน เราจะคุยเรื่องเที่ยวกันได้ทั้งวันไม่จบไม่สิ้น

Baikaler Rural Hostel
Baikaler Rural Hostel

เรามาถึง Olkhon Island ก็พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ที่พักของเราเป็น guesthouse น่ารักๆ พอมาถึงก็มีของว่างพร้อมชากาแฟเล็กๆ น้อยๆ ต้อนรับ แล้วตามด้วยอาหารเย็น เป็นอาหาร local ที่ดูทำง่ายๆ ส่วนใหญ่จะเป็นปลา (ที่จับได้ในทะเลสาบ Baikal) หน้าตาอาจจะดูไม่หรูหรา แต่รสชาติอร่อยเลยทีเดียว

DAY 11: OLKHON ISLAND (Ольхо́н)

Olkhon Island
Olkhon Island Run

พวกเรามีเวลาน้อย เลยพักอยู่บนเกาะนี้แค่คืนเดียว ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ไกด์บอกว่าเราสามารถเที่ยวบนเกาะนี้ได้เป็นสัปดาห์เลย

เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาวิ่ง recovery รอบเกาะ การวิ่ง recovery หลังจากการวิ่งมาราธอน มีจุดประสงค์เพื่อพื้นฟูกล้ามเนื้อ เราจะไม่เน้นความเร็ว ไม่ต้องก้าวขายาว ถือว่าชมวิวสวยๆ รอบเกาะไป

เรามีทางเลือกไม่มากเนื่องจากรถไฟจาก Irkutsk ไป Ulaanbaatar มีแค่วันเว้นวัน ด้วยข้อจำกัดของเวลาเรา ทำให้เราต้องเลือกว่าจะอยู่ Irkutsk 2, Ulaanbaatar 4 หรือ Irkutsk 4, Ulaanbaatar 2 (จริงๆ อยากอยู่เมืองละ 3 วัน) สุดท้ายเราตัดสินใจออกจาก Irkutsk เร็วหน่อย เพื่อจะได้มีเวลาอยู่ที่มองโกเลีย 4 วันครับ

Olkhon Island in the morning
ตื่นมาวิ่งยามเช้าบนเกาะ

หลังจากรับประทานอาหารเช้า Oleg ไกด์ของเราก็มารับแล้วก็พาขับรถขึ้นไปทางเหนือของเกาะ

Olkhon Island
เที่ยวรอบเกาะ Olkhon Island

มื้อกลางวันไกด์และผู้ช่วยไกด์ทำอาหารกลางวันให้พวกเราทาน มีสลัด ขนมปัง และซุปปลา ซึ่งอร่อยมากๆ ยกให้เป็นอาหารกลางวันมื้อที่อร่อยที่สุดในทริปเลยทีเดียว

lunch on Olkhon Island
ไกด์ทำอาหารกลางวันให้ทาน

เค้าบอกว่ามาถึงทะเลสาบ Baikal แล้วไม่ได้ลงไปว่ายน้ำเล่นในทะเลสาบ ก็เหมือนว่ามาไม่ถึง ผมและ Maíra เลยกระโดดลงไปเล่นน้ำกันประมาณ 1 นาที ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อน แต่น้ำในทะเลสาบ Baikal ยังเย็นเฉียบ

ในช่วงฤดูหนาวมีการจัดงาน Baikal Ice Marathon ด้วย เป็นการวิ่งไปบนทะเลสาบ Baikal ซึ่งเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว แต่ตอนนี้สภาพร่างกายคงยังไปไม่ถึงขั้นนั้น ขอพับเก็บใส่ไว้ใน bucket list ไว้ก่อน

Baikal Lake
Baikal Lake

เรานั่ง ferry ข้ามฟากกลับมา แล้ว Oleg ก็ขับรถพาพวกเรามาส่งที่โรงแรมในเมือง Irkutsk เราจะนอนค้างที่ Irkutsk ก่อนที่จะขึ้นรถไฟตอนเช้าไปสถานีถัดไป คือเมือง Ulaan-baatar ประเทศมองโกเลีย ซึ่งเราขอแยกส่วนของมองโกเลียไปไว้ในอีกโพสต์ละกัน ถือว่าจบเส้นทางทรานส์ไซบีเรีย ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเส้นทางทรานส์มองโกเลีย

on the way back to Irkutsk
แสงสุดท้ายระหว่างทางกลับไปที่เมือง Irkutsk

 

อ่านตอนต่อไปได้ที่: ทรานส์มองโกเลีย – นั่งรถไฟเที่ยวหลังจากวิ่งมาราธอน

 

1 thoughts on “ทรานส์ไซบีเรีย – นั่งรถไฟไปวิ่งมาราธอน

  1. Pingback: ทรานส์มองโกเลีย - นั่งรถไฟเที่ยวหลังจากวิ่งมาราธอน - วิ่งรอบโลก: Running the World

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *